9 เทคนิคการฝึกสมองให้เฉียบคม

     คนสมัยนี้ อยากสวย อยากเก่ง และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่าง ด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัดเรื่องอาหารการกิน แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแล พัฒนาสมอง อย่างไรให้มีสุขภาพดี ทั้งที่สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต เราจึงควร ฝึกสมอง ให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่าย ๆ ต่อ ไปนี้

     จิบน้ำบ่อย ๆ  (Drink water very often) สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือน ต้น ไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ย ถ้าไม่มีน้ำ ต้น ไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้ากลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆเพื่อ พัฒนาสมอง ให้มีประสิทธิภาพที่ดี

     กินไขมันดี  (enjoy taking fish-oil, Omega 3) เทคนิคการ ฝึกสมอง ข้อนี้เป็นเทคนิคที่คนไม่ค่อยรู้ เพราะคนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือ วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น ถ้า อยากเก่ง ลองทานอาหารเหล่านี้ดูครับ

     นั่งสมาธิวันละ 12 นาที  (Meditation 12 min a day) หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี  Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

     ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention) การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

     หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ (Laugh and Smile) ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดี ต่อ คนอื่นไปเรื่อยๆ

     เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday) สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา  เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์ และมีการ พัฒนาสมอง ให้ดีขึ้นนั่นเอง

     ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress) ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง การโกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง ซึ่งเป็นสิ่งไม่ดีถ้าหากต้องการ ฝึกสมอง ดังนั้นการให้อภัยตัวเอง ไม่เครียด เป็นการลดภาระของสมองช่วย พัฒนาสมองได้อย่างดีเลยละครับ

     เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things inlife every day) ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์และ พัฒนาสมองให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุด

     ฝึกการสูดหายใจลึก ๆบ่อย ๆ สมองใช้ออกชิเจน 20-25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %ถ้า อยากเก่ง ก็ลองสูดให้ใจลึกๆดูครับ

     การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและ ฝึกสมอง ให้ดีคุณภาพชีวิตที่ดีก็ตามมาอย่างมากมายเราจะกลายเป็นคนฉลาด กระฉับกระเฉง ไม่หลงลืม  แก่ช้า และมีบุคคลิกภาพที่ดี เป็นคนมีเสน่ห์ เป็นที่ชื่นชมของคนทั่วไป สำหรับน้องๆที่ อยากเก่ง ก็ลองทำตามนี้ดูนะครับ

ที่มา : http://www.kc-center.com/content.html



**ถ้า อยากเก่ง ต้อง เรียนพิเศษตัวต่อตัว เรียนพิเศษที่บ้าน กับทีม ติวเตอร์จุฬา ธรรมศาสตร์ มหิดล เกษตรศาสตร์ของเรา

ขอบคุณภาพประกอบจาก

blogger-happyday.blogspot.com
www.dmc.tv

 


ชื่อผู้ตอบ:


    • ในชีวิตวัยเรียนของน้องๆจำเป็นต้องใช้สมองอยู่ตลอดเวลาทั้งการเรียนในห้องเรียน การเรียนพิเศษเสริมที่บางคนอาจเรียนทุกวันเลยก็มี ดังนั้นวันนี้พี่ๆจาก Top-A tutor มีบทความดีๆเกี่ยวกับ...
    • วิชาวิทยาศาสตร์เป็นหนึ่งในวิชาหลักที่นักเรียนในช่วงวัยเรียนต้องเรียน หลายๆคนทำได้ดีในวิชานี้ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังทำได้ไม่ดีในวิชาวิทยาศาสตร์จนพาลไม่ชอบวิชานี้ไปโดยปริยาย ...